รุ่นต่างๆ ของ แอสตันมาร์ติน แวนเทจ (2005)

Roadster

V8 Vantage Roadster

เปิดตัวครั้งแรกที่งานกรีเตอร์ลอสแอนเจลิสออโตโชว์ ปี ค.ศ. 2006 แอสตันมาร์ติน ก็ได้เปิดตัว "วี8 แวนเทจ โรดสเตอร์" (V8 Vantage Roadster) ซึ่งเป็นรุ่นเสริมสามารถเปิดประทุนได้ ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่า 200 ปอนด์จากรุ่นเดิม (คูเป) แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในเรื่องของสมรรถนะก็ยังคงรักษาไว้ได้เท่ากับรุ่นปกติ สำหรับตัวหลังคา เป็นหลังคาผ้าใบควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าอัตโนมัติ ใช้เวลาพับเปิด-ปิด ในเวลาเพียง 18 วินาที และสามารถกดสั่งการในขณะที่รถใช้ความเร็ว 30 ไมล์/ชม. (50 กม./ชม.) ได้ ตัวเครื่องยนต์คงไว้ที่ 4.3 ลิตร V8 มีกำลัง 380 bhp (283 kW; 385 PS) ที่ 7000 rpm และแรงบิดสูงสุดที่ 302 lb·ft (409 N·m) ที่ 5000 rpm ในเรื่องของสมรรถนะความเร็ว แวนเทจ สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 178 ไมล/ชม. (286 กม./ชม.) และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 4.8 วินาทีเท่านั้น[3] สำหรับตัวประตูรถ เป็นชนิด "ประตูปีกหงส์" (Swan wing doors)

N400

ผลิตขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองบริษัท จากความสำเร็จในการแข่งขันที่สนาม Nürburgring ซึ่งมีระยะทางถึง 1,000 กม.[4] ทางค่าย แอสตันมาร์ติน จึงได้ออกมาเปิดตัว รุ่นจำกัดจำนวน เอน400 ในงานแฟรงเฟิร์ตมอเตอร์โชว์ ปี ค.ศ. 2007 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4.3 ลิตร V8 ซึ่งสามารถให้กำลังได้ถึง 400 bhp (298 kW; 406 PS) กลายเป็นที่มาของตังเลขรุ่น "400" ภายนอกของ เอน400 จะทาในสีพิเศษ 3 สี คือ สีดำ (Bergwerk Black), สีเงิน (Lightning Silver) และ สีส้ม (Karussell Orange) เอน400 จะถูกออกมาวางจำหน่าย ทั้งแบบคูเป้ และแบบโรสเตอร์ เป็นจำนวนเพียง 240 คันเท่านั้น [5]

V8 Vantage S

V8 Vantage S

ในวันที่ 25 มกราคม 2011[6] แอสตันมาร์ติน ก็ได้เปิดตัว "วี8 แวนเทจ เอส" (V8 Vantage S) ทั้งแบบคูเป และแบบโรดสเตอร์ เปิดประทุน ออกแบบมาเพื่อให้มีความเป็นสปอร์ตมากขึ้นกว่า วี8 ธรรมดา สำหรับตัวเครื่องยนต์ยังคงไว้ที่ 4.7 ลิตร V8 เช่นเดิม แต่ต่างไปที่การแต่งรถรอบคัน และระบบภายใน ในเรื่องของกำลัง มีกำลังเพิ่มเป็น 430 แรงม้า และ 361 lb-ft ของแรงบิด ลดอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เหลือเพียง 4.0 วินาที ซึ่งเร็วกว่ารุ่นธรรมดาที่ 0.3 วินาที ระบบเกียร์ เป็นชนิด ซิงเกิ้ล-คลัทซ์ 7 จังหวะ (Single-clutch seven-speed)

V12 Vantage

ในวันที่ 11 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2007 ทีมออกแบบจากค่ายแอสตันมาร์ติน ก็ได้เปิดตัว คอนเซปคาร์ต่อจาก "วี8 แวนเทจ" ในชื่อ "วี12 แวนเทจ อาร์เอส" (V12 Vantage RS) แตกต่างจากรุ่น วี8 อย่างเห็นได้ชัดคือ เครื่องยนต์ที่ปรับเพิ่มเป็น V12 ซึ่งให้กำลังถึง 510 hp (380 kW)[7] The power along with the weight of 3,704 ปอนด์ (1,680 กิโลกรัม)[7] ซึ่งขนาดกำลังที่สูงขึ้นส่งผลให้น้ำหนักรถเพิ่มไปที่ 3,704 pounds (1,680 kg)[7] รถสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ที่ 4.1 วินาที[7] และความเร็วสูงสุดที่ 190 ไมล์/ชม. (310 กม./ชม.)[7]

ในที่สุด แอสตันมาร์ติน ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในปี ค.ศ. 2009 และใช้ชื่อว่า "V12 Vantage" ซึ่งคาดว่าจะวิ่งบนถนนประมาณ 1,000 คัน และสำหรับรุ่นพิเศษ คาร์บอน แบร็ค (Carbon Black) จะจำหน่ายในสหรัฐเพียงเท่านั้น

ในวันที่ 24 สิงหาคม ปี ค.ศ. 2011 แอสตันมาร์ติน ก็ได้พัฒนา วี12 แวนเทจ เป็น จีที3 (GT3) เพื่อไปแทนที่ แอสตันมาร์ติน ดีบีอาร์เอส9 (Aston Martin DBRS9) ซึ่งคาดว่ารถจะลงสนามแข่งในช่วงต้นปี 2012[8]

V12 Vantage S

ในวันที่ 28 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 2013 แอสตันมาร์ติน ก็ได้เปิดตัว วี12 แวนเทจ เอส ซึ่งเป็นรุ่นเสริมต่อจาก วี12 แวนเทจ ธรรมดา ให้มีความเป็นสปอร์ตขึ้น ในรูปแบบของ ซูเปอร์คาร์[9]

วี12 แวนเทจ เอส มาพร้อมกับ เครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.0 ลิตรใหม่ ซึ่งเรียกว่า "เอเอ็ม28" (AM28) มีกำลัง 565 hp (421 kW) และแรงบิด ที่ 457 lb·ft (620 N·m) รถขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า 2 ล้อ และเกียร์สปอร์ตชิฟต์ III 7 จังหวะ อัตโนมัติ-ธรรมดา (Seven-speed Sportshift III automated manual) ตัวใหม่ ซึ่งมีน้ำหนักกว่า Sportshift III ธรรมดา ถึง 55 ปอนด์ (25 กิโลกรัม)

แวนเทจ เอส สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 205 ไมล์/ชม. (330 กม./ชม.) กลายเป็นรถจากค่าย แอสตันมาร์ติน ที่เร็วที่สุด เท่าที่เคยผลิตมา[10]

แหล่งที่มา

WikiPedia: แอสตันมาร์ติน แวนเทจ (2005) http://site.astonmartin.com/eng/thecompany/news/?a... http://www.astonmartin.com/eng/thecars/v12vantage/... http://media.caranddriver.com/files/v12-vantage-vs... http://www.caranddriver.com/reviews/2008-aston-mar... http://www.speedhunters.com/archive/2011/08/24/ran... http://www.topgear.com/content/news/stories/2200/ http://www.automoblog.net/2013/05/29/aston-martins... http://autocar.co.uk/News/NewsArticle/AllCars/2276... http://www.newspress.co.uk/public/ViewPressRelease... https://www.youtube.com/watch?v=LZhFppXbm60